รักษาผมบางจากพันธุกรรมในผู้ชาย แบบไม่รับประทานยาปลูกผม

 

สิ่งที่ควรทราบ ก่อนจะตัดสินใจรักษาเรื่องผมบางจากพันธุกรรม หรือผมบางจากฮอร์โมน

  • ผมบางจากพันธุกรรม สาเหตุเกิดจากฮอร์โมน DHT ที่ร่างกายสร้างขึ้น ไม่สามารถกำจัดได้  การรักษาจึงเป็นการดูแลเพื่อให้เส้นผมแข็งแรงขึ้น
    จนสามารถต่อสู้กับ DHT  ได้
  • เมื่อเส้นผมที่บาง หนาขึ้น แข็งแรงดีขึ้นแล้ว  เมื่อหยุดการรักษา ผมจะค่อยๆกลับมาบางใหม่ เนื่องจาก สาเหตุจาก DHT ยังคงอยู่มาตลอด
    แต่ปัจจัยการรักษาที่ทำให้ผมแข็งแรงได้หายไปแล้ว  ทำให้เส้นผมค่อยๆกลับไปบางเหมือนเดิม ตามเวลาที่ผ่านไป
    โดยเฉลี่ยประมาณ 3-6 เดือน คนไข้จะเริ่มรู้สึกถึงผมที่จะบางเร็วมากขึ้น หรือมีอาการผมร่วงที่รุนแรงขึ้น โดยขึ้นกับระยะเวลาและวิธี่ที่ใช้ดูแลเส้นผมก่อนหน้านี้
  • ดังนั้น การเลือกวิธีรักษา ไม่ว่าจะใช้วิธีใดก็ตาม ควรจะสามารถทำได้ต่อเนื่อง  เพื่อดูแลผลการรักษาให้ดีอยู่เสมอ
  • การรักษาด้วยวิธีที่มีค่าใช้จ่ายที่แพงกว่า  ไม่ได้หมายความว่าเมื่อหยุดการรักษาแล้ว เส้นผมจะไม่กลับไปบางเหมือนเดิม  แต่หมายถึง อาจจะได้ผลการรักษาที่ไวกว่า
    หรือได้ผลการรักษาที่เทียบเท่า หรืออาจจะน้อยกว่าการรักษาด้วยอื่นๆก็ได้ ขึ้นอยู่กับวิธีที่ใช้รักษานั้นๆ ไม่ใช้ขึ้นกับราคาที่ใช้ในการรักษา
  • เช่น การรักษาด้วย PRP ติดต่อกัน  4-6 เดือน เมื่อเส้นผมดีขึ้น หนาเต็มแล้ว  เมื่อหยุดการทำ PRP เส้นผมที่หนาเต็มก็จะค่อยๆ กลับไปบาง ตามระยะเวลาที่ผ่านไป
    จนกระทั้งเส้นผมบางเหมือนที่ไม่เคยรักษามาก่อนได้.

วิธีการรักษาที่ดีเพ็ญ – วรฤทธิ์ คลินิก ในกรณีไม่ทานยารักษา

การรักษาหลักที่ดีเพ็ญ-วรฤทธิ์ คลินิก

  1. การรับประทานวิตามินต่างๆที่มีประโยชน์ต่อเส้นผม อาจจะไม่มีผลโดยตรงต่อการรักษาผมบางจากพันธุกรรม แต่ช่วยส่งเสริมคุณภาพเส้นผม ความเงา ความทนทาน ลดการหลุดร่วง และช่วยทำให้ผลของการรักษาด้วยยาทาต่างๆของเส้นผมได้ดีขึ้น
  2. การใช้ยาทาภายนอกชนิดต่างๆ ที่ให้ผลการรักษาที่ดี ตามหลักฐานงานวิจัยทางการแพทย์ที่ได้รับการยอมรับ ว่ามีผลในการรักษาผมบางจากพันธุกรรม
    ซึ่งทางดีเพ็ญ-วรฤทธิ์ จะแนะนำวิธีใช้โดยละเอียดในแต่ละเดือน
  3. แชมพูเฉพาะ  ใช้ปรับพื้นฐานหนังศีรษะให้สะอาดขึ้น ลดน้ำมันที่อยู่ในรูเส้นผม (hair follicle) โดยไม่ทำให้หนังศีรษะแห้ง  มีผลต่อเนื่องทำให้ปริมาณ DHT ที่ปริมาณ hair bulb ลดลง เป็นการลดปัจจัยลบที่ทำร้ายเส้นผม
    แชมพูจะช่วยลดภาวะการเกิด ต่อมไขมันอักเสบ (seborrheic dermatitis) หรือที่เรียกว่าเซบเดริม์ได้ด้วย ทำให้ภาวะผมร่วงแฝงที่เกิดจากภาวะผื่น หรือภาวะน้ำมันเกินที่หนังศีรษะลดลงได้
  4. ค่าใช้จ่าย 1,950 บาทต่อเดือน (fix ค่าใช้จ่ายต่อเดือน) โดยชนิดของยาวิตามิน และการใช้ยาทาภายนอกชนิดต่างๆ ในแต่ละเดือน นั้นแพทย์จะเป็นผู้พิจารณาให้ตามความเหมาะสมตามลักษณะของคนไข้แต่ละคน

ข้อควรทราบ

  • การรักษาด้วยวิธีข้างต้น จะไม่ได้ผลการรักษาที่ดีเท่าการรักษาด้วยการยารับประทานยาที่มีผลรักษาผมบางโดยตรง
  • แต่มีข้อดีคือ ไม่ต้องกังวลเรื่องผลข้างเคึยงใดๆ ในการรับประทานยา   ไม่ว่าจะใช้ระยะเวลารักษาไปนานแค่ไหนก็ตาม
  • เหมาะสำหรับ คนไข้ที่ไม่ต้องการรับประทานยา หรือกลุ่มคนไข้ที่เส้นผมยังบางไม่มากนัก แต่ต้องการดูแลบุคลิกภาพให้ดีขึ้น ให้ผมบางดูหนาขึ้น ลดภาวะผมบางไม่ให้เกิดเพิ่มขึ้นเร็วเกินไป ตามอายุที่เพิ่มขึ้น  แม้จะไม่ดีเท่ากับการรับประทานยา
    แต่ก็จะดีกว่ามาก หากจะไม่ปล่อยให้ผมบางไปเรื่อยๆ ไม่ได้ทำอะไร จนสุดท้ายเกิดภาวะผมบางที่รุนแรงขึ้น
  • การรักษาจะได้ผลดีขึ้นมาก หากคนไข้ยังมีเส้นผมที่ค่อนข้างหนาอยู่ เมื่อเทียบกับเส้นผมที่มีขนาดเล็กมากๆ ยิ่งเส้นผมยังมีขนาดไม่เล็กเกินไปจะได้ผลการรักษาที่ดีมากขึ้น
  • หากคนไข้เกิดภาวะไม่มีเส้นผมแล้ว หรือเส้นผมมีขนาดเล็กมาก (เส้นผมเป็นไร เหมือนเส้นหนวดในผู้หญิง) มักจะไม่ได้ผลในบริเวณดังกล่าว
  • หากต้องการเสริมผลการรักษาสามารถเลือก การรักษาเสริมด้วย dual FMC เพิ่มได้

  • การหยุดยาปลูกผม
    • การหยุดใช้ยาทาภายนอกเพื่อปลูกผมโดยไม่ใช้อีกเลย หลังจากที่เส้นผมขึ้นหนาแล้วนั้น  ผลจากตัวยารักษาจะค่อยๆหายไป ในขณะที่ DHT ยังคงอยู่
      สุดท้ายเส้นผมจะค่อยๆบางไปเรื่อยๆ จนกระทั้่งมีโอกาสกลับมาบางเหมือนเดิม (เหมือนไม่เคยรักษา) ภายในระยะเวลา 3-8 เดือน ขึ้นกับผลการรักษาก่อนหน้านี้
    • ดังนั้น เมื่อเส้นผมตอบสนองการรักษาแล้ว ควรจะมีการใช้ยาทาต่อเนื่อง อย่างน้อยประมาณ 3-4 ครั้ง ต่อ สัปดาห์ ก็จะสามารถคงสภาพเส้นผมก่อนหน้านี้ได้

การรักษาเสริม หรือการรักษาทางเลือกที่ดีเพ็ญ-วรฤทธิ์ คลินิก 

  • Dual FMC ( Fractional microcell + micro-mesotherapy) 
    ปัจจุบันการมีการยอมรับว่าการใช้ Fractional Laser (fraxel, finescan, fotona,และอื่นๆ)  รวมถึง Fraction needle with RF มีประโยชน์ในการรักษาผมบางจากพันธุกรรม

     

    • Fractional microcell จะปล่อยตัวคลื่น RF ผ่าน micro-needle ขนาดเล็ก ซึ่งเป็นคลื่นความร้อน ส่งผลให้มีการกระตุ้น
      การไหลเวียนของเลือดของปลายรากผมได้ดี  เมื่อระบบไหลเวียนโลหิตบริเวณรากผมดีขึ้น   สารอาหารต่างๆ รวมถึง อ๊อกซิเจนจะถูกลำเลียงเข้าสู่รากผมได้ดีมากขึ้น
      โดยตัวเลเซอร์ RF ไม่มีอันตรายต่อเนื้อเยื่อต่างๆโดยรอบ อีกทั้งยังสามารถกระตุ้น cell รากเส้นผมได้เป็นบริเวณกว้าง และมีความลึกที่พอดี ใกล้เคียงตำแหน่งปลายรากผม
      เส้นผมจะแข็งแรงขึ้น และมีขนาดเส้นผมที่โตขึ้นได้
    • Micro-mesotherapy : micro-needle ที่ใช้จะสร้าง ช่องขนาดเล็กๆกระจายตามหนังศีรษะที่ทำ ทำให้เพิ่มประสิทธิภาพในการดูดซึมสารบำรุงเส้นผมและรากผม (cocktail พิเศษ) ที่ดีเพ็ญ-วรฤทธิ์ ใช้ร่วมกับ dual FMC  โดยที่ไม่ได้ทิ้งแผลอะไรไว้ และไม่ต้องฟักฟื้น
      หลังทำ สามาถดำเนินชีวิตได้ตามปกติ โดยผล micro-mesotherapy ร่วมกับการทำ Fractional microcell นั้นจะให้ผลการรักษาที่น่าพึ่งพอใจมากกว่า การทำ meso-hair เพียงอย่างเดียว หรือการทำ fractional laser เพียงอย่างเดียว
    • สารบำรุงเส้นผม รากผม (cocktail พิเศษ)  จะทำหน้าที่บำรุงรากผม และกระตุ้นรากผมให้สร้างเนื้อผม (hair matrix) มากขึ้น ตามหน้าที่ของ coctail แต่ละชนิดที่ใช้ ทำให้ผมที่บางหนาขึ้น มีปริมาณและขนาดที่เพิ่มมากขึ้น
    • ค่าใช้จ่าย Dual FMC (Fractional microcell + micro-mesotherapy) + cocktail  ราคา  5,000 บาทต่อครั้ง โดยปกติแนะนำทำเดือนละ 1 ครั้ง อย่างน้อย 3 ครั้ง  หรือจนกระทั่งเห็นผลที่พึ่งพอใจ
  • Meso Hair  คือการการใช้เข็มสะกิด หรือผ่านเครื่องมือช่วยยิง บริเวณหนังศีรษะให้เกิดรูเล็กๆ และใช้สารที่มีประโยชน์ต่างๆ (cocktail) ในการดูแลเส้นผมปล่อยซึมเข้าหนังศีรษะ เป็นวิธีที่ใช้ในการกระตุ้นรากผม และส่งสารอาหารที่จำเป็น เข้าสู่เส้นผม หนังศีรษะได้โดยตรง
    ทางคลินิกไม่มีบริการนี้ เนื่องจาก ทางคลินิกเห็นว่าการทำ dual FMC จะให้ผลการรักษาที่ดีกว่า

  • PRP (platelet rich plasma)
    ปัจจุบันวิธีนี้เป็นที่ยอมรับว่า สามารถรักษาผมบางจากพันธุกรรมได้ผล หากคนไข้สามารถทำต่อเนื่องได้
    ทางดีเพ็ญ-วรฤทธิ์ คลินิก ไม่มีวิธีการรักษาด้วย PRP ในคลินิก  แต่แนะนำจะให้คนไข้เลือกทำ Dual FMC (Fractional microcell + micro-mesotherapy) + cocktail พิเศษ แทน
    เนื่องจาก coctail ที่ใช้ใน Dual FMC นั้นสามารถทดแทนคุณสมบัติใน PRP ได้ และยังสามารถกระตุ้นรากผมเพิ่มได้ด้วย Fraction needle with RF
    และคนไข้สามารถปรับ เพิ่มชนิดของ coctail ได้อีก ตามลักษณะและความต้องการของคนไข้  เช่น การใช้ exosomes ทาร่วมด้วย

  • Low Level Laser Therapy (LLLT)  หรือ เลเซอร์จากคลื่นแสงความถี่ต่ำ (Low Level Laser Light)
    ในปัจจุบันมีงานวิจัยทางการแพทย์ยืนยันชัดเจนแล้วว่า Low Level Laser Therapy  นั้นสามารถรักษาภาวะผมบางจากพันธุกรรมได้ อีกทั้งยังปลอดภัย ไม่มีอันตรายใดๆ
    เนื่องจากเป็นเพียงความยาวคลื่นแสงที่ไม่อันตราย และใช้พลังงานต่ำในการกระตุ้นรากผม
    โดยแบ่ง LLLT ได้เป็นสองประเภท

     

    1. ประเภทเครื่องขนาดใหญ่  จะมีจำนวนหัวเลเซอร์มาก ส่วนมากจะมีราคาแพง จะมีตามคลินิกต่างๆ
    2. ประเภทพกพา (ซื้อใช้เองที่บ้าน) ในระยะแรกของงานวิจัย จะมีจำนวนหัวเลเซอร์น้อยกว่าขนาดใหญ่ จะใช้เป็นรูปแบบหวี ทำให้มีข้อจำกัดในเรื่องจำนวนหัวเลเซอร์ที่ติดมา
      แต่ปัจจุบัน เนื่องจากเป็นที่ยอมรับในการรักษาทั่วโลก จึงมีการพัฒนาไปได้มาก ทั้งรูปแบบที่หลากหลายขึ้น จำนวนหัวเลเซอร์ที่มากขึ้น และความสะดวกสบายในการสวมใส่
      จนปัจจุบันประเภทพกพา คุณภาพไม่ได้ด้อยไปกว่า  LLLT ประเภทเครื่องใหญ่ที่อยู่ตามคลินิกต่างๆเลย

รูปด้านบน LLLT แบบพกพา ในอดีตจะมีจำนวนหัวเลเซอร์น้อย

รูปด้านบน LLLT แบบเครื่องใหญ่ตามคลินิก จะมีจำนวนหัวเลเซอร์มากกว่า

ข้อควรทราบก่อนการรักษาด้วย LLLT

    • ผลการรักษาเมื่อเทียบกับวิธีอื่นๆ ถือว่าได้ผลค่อนช้า และเส้นผมอาจจะไม่ได้ขึ้นหนามากนัก แต่หากทำเป็นประจำจะได้ผลการรักษาที่ดีขึ้นแน่นอน
    • ควรทำอย่างน้อย 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ ต่อเนื่องไปเรื่อยๆ  จะเริ่มเห็นผลประมาณเดือนที่ 4- 6 เดือน และหากหยุดทำ ผมจะกลับมาบางเหมือนเดิม (เหมือนการรักษาผมบางจากพันธุกรรมด้วยวิธีอื่นๆ)
    • หากทำน้อยกว่า 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ หรือไม่ต่อเนื่องตลอดอย่างน้อย 3 เดือน จะไม่ค่อยได้ผลลัพธ์ที่ดีนัก  ได้แค่เป็นปัจจัยบวกที่ทำให้รากผมแข็งแรงขึ้น แต่เส้นผมอาจจะไม่ได้หนามากขึ้น
    • ดีเพ็ญ-วรฤทธิ์ คลินิก ไม่มี LLLT ขนาดใหญ่ที่คลินิกให้บริการ เนื่องจาก   การทำ LLLT ขนาดใหญ่ที่คลินิก ให้ได้ผลนั้นก็ต้องทำ 2-3 ต่อสัปดาห์ และติดต่อกันอย่างน้อย 3-4 เดือน  ถึงจะเริ่มเห็นผล
      ระยะเวลาการทำต่อครั้งอยู่ที่ 15-30 นาที และเมื่อได้ผลแล้ว ก็ต้องมาทำต่อเนื่องอีก เพื่อรักษาผลนั้นไว้  หากไม่ทำผมก็จะค่อยๆกลับไปบางใหม่ ตามเวลาที่ผ่านไป
      ทางคลินิกจึงแนะนำ คนไข้ที่ต้องการทำหรือชอบการดูแลผมบางจากพันธุรรมด้วยวิธีนี้ ให้ซื้อ LLLT ขนาดพกพาไปใช้ที่บ้านเองจะคุ้มค่า และเป็นประโยชน์กับคนไข้มากกว่ามาก
    • กรณี คนไข้ต้องการซื้อ LLLT แบบพกพา ทางดีเพ็ญ-วรฤทธิ์ คลินิก จะเป็นตัวแทนให้บริการติดต่อ ซื้อ LLLT ขนาดพกพายี่ห้อ hair max ให้ (เฉพาะคนไข้ที่รักษาเส้นผมกับทางคลินิกเท่านั้น)
      โดยจะช่วยติดต่อ หรือประสานงานกับทางบริษัทให้ อย่างไรก็ตาม หากคนไข้สะดวกติดต่อซื้อเองได้ก็จะดีกว่า โดยทางคลินิกแนะนำ ยี่ห้อ hair max หรือ igrow
    • ราคา hair max ประมาณ 50,000-70,000 บาท ต่อเครื่อง
    • ข้อดี ในการรักษาผมบางจากพันธุกรรมด้วย LLLT ในมุมมองของดีเพ็ญ-วรฤทธิ์ คลินิก คือ LLLT เหมาะมากสำหรับนำมาผสมผสาน (combination) กับการรักษาแบบอื่นๆ  เนื่องจาก หากรักษาด้วย LLLT อย่างเดียว จะใช้เวลาอย่างน้อย 4-6 เดือน ถึงจะเห็นการเปลี่ยนแปลงของเส้นผม
      และเส้นผมที่หนาขึ้นอาจจะไม่มาก  แต่ถ้าหากช่วงแรกทำการรักษาด้วยวิธีอื่นร่วมด้วย เช่น การทำ dual FMC หรือ PRP จนกระทั่งเส้นผมหนาขึ้นระดับหนึ่ง  หรือแข็งแรงแล้ว การทำ LLLT แบบพกพาที่บ้าน ในช่วงหลังจะเป็นการ maintain ผลการรักษาตอนแรกไม่ให้เสื่อมถอย
      (เมื่อหยุดการรักษาร่วมในช่วงแรกไป) และ LLLT ขนาดใหญ่ที่คลินิกให้บริการนั้น อาจจะเหมาะสำหรับคนไข้หลังการปลูกผม  ทำเพื่อเพิ่มปัจจัยบวกให้กับเส้นผมหลังปลูกผมไป

รูปด้านบน  LLLT แบบพกพาในปัจจุบัน ซึ่งบางรุ่นมีจำนวนหัวเลเซอร์หลายหัว ให้ผลการรักษาที่ใกล้เคียงกับ LLLT เครื่องใหญ่ แต่สามารถทำเองได้ที่บ้าน

  • การปลูกผม
    เป็นวิธีการรักษาที่ได้ผลดีที่สุดในปัจจุบัน และได้ผลถาวรเมื่อเส้นผมที่ปลูกแข็งแรงแล้ว เส้นผมที่ย้ายมาปลูกก็จะไม่มีขนาดเล็กลงตามเวลาที่ผ่านไป

  • การปลูกผมเหมาะกับใคร
    • การปลูกผมไม่ได้เหมาะกับคนไข้ทุกคนที่มีปัญหาผมบางจากพันธุกรรม
    • เหมาะกับคนไข้ที่ผมบาง บางกลุ่ม เช่น คนไข้ที่มีผมบางจากพันธุกรรมไม่มาก หรือบางเป็นตำแหน่ง เช่น บางตรงตำแหน่งง่าม 2 ข้างของแนวเส้นผม หรือเป็นการเสริมแนว hair line ใหม่ ให้ดีขี้น เป็นต้น
    • ไม่เหมาะกับคนไข้ที่มีผมบางจากพันธุกรรมชนิดรุนแรง หรือคาดเดาได้ว่าอาจจะมีปัญหาเรื่องผมบางจากพันธุกรรมรุนแรงในอนาคต เป็นต้น
  • ข้อควรทราบก่อนการปลูกผม
    • เส้นผมที่ย้ายมาปลูก (บริเวณท้ายทอย) จะอยู่ถาวรเพราะทนทานต่อ DHT ได้ แต่เส้นผมปกติที่ไม่ได้ปลูกของคนไข้ จะเปลี่ยนแปลงบางไปเรื่อยๆตามกาลเวลา และแปรผันตามความรุนแรงของกรรมพันธุ์
    • นั้นคือ เส้นผมที่ย้ายมาปลูกจะไม่บาง แต่เส้นผมอื่นๆจะค่อยๆบางไปเรื่อยๆตามเวลา และความรุนแรงขึ้นกับกรรมพันธุ์ในคนไข้แต่ละคน
    • ดังนั้น การปลูกผมจึงควรทำให้คนไข้ที่มีผมบางประเภทไม่รุนแรงมากเกินไป เพราะถ้ารุนแรงมาก ปลูกผมตอนอายุน้อย แต่ในอนาคตเมื่ออายุมากขึ้น ผมบางมากขึ้นแล้ว ต่อให้มีเงินมากแค่ไหน
      แต่ปริมาณเส้นผมที่จะย้ายมาปลูก (กราฟ) ไม่พอนั้นเอง
    • การปลูกผมควรจะวางแผนปลูกซ้ำทุกๆ 5-10 ปี เพื่อเติมช่องว่างของเส้นผมบางที่เกิดขึ้นตามเวลาที่ผ่านไป
    • คนไข้ที่ผ่านการปลูกผมนั้น ควรให้ความสำคัญกับการเก็บรักษาเส้นผมที่ปกติที่เหลือไว้ให้อยู่กับเราได้นานที่สุด บางให้ช้าที่สุด เพื่อประหยัดกราฟที่จะใช้ในอนาคต และเพื่อลดระยะเวลาที่จะต้องทำการปลูกผมซ้ำให้ช้ามากขึ้น
      หากดูแลได้ดี อาจจะไม่จำเป็นต้องปลูกผมซ้ำอีกก็ได้
    • การทานยาปลูกผม เป็นวิธีที่ให้ผลการรักษา และป้องกันผมบางที่ได้ผลดีมาก โดยมีค่าใช้จ่ายน้อย  ดังนั้น คนไข้ที่ปลูกผมกับแพทย์ที่เชี่ยวชาญด้านการปลูกผม แพทย์ส่วนมากจะแนะนำให้ทานยาปลูกผมบางตัวร่วมด้วย เพื่อผลประโยชน์ของคนไข้ในอนาคต แต่คนไข้สามารถเลือกไม่รับประทานยาได้
      ขึ้นกับความเห็นของแพทย์ที่ปลูกรักษาผม  แต่ควรจะมีวิธีอื่นๆในการดูแลเส้นผม เพื่อลดภาระการปลูกผมในอนาคต (ยกเว้นบางกรณี เช่น คนไข้ผมบางบางตำแหน่ง, การเปลี่ยนแนว hair line เป็นต้น ก็อาจจะไม่มีความจำเป็นต้องปลูกผมซ้ำในอนาคต ทำเพียงการดูแลอื่นๆก็เพียงพอ)
    • คนไข้ที่มีความต้องการทานยารักษาผมร่วมด้วยอยู่แล้ว แนะนำให้ทานยารักษาเส้นผมไปก่อนอย่างน้อย 6 เดือน แล้วจึงไปปลูกผม จะปลูกผมได้สวยงามมากขึ้น ลดโอกาสกราฟเสียมากขึ้น
      ลดปริมาณกราฟที่ใช้ปลูกลงได้ จึงลดค่าใช้จ่ายในการปลูกผมได้ ค่าใช้จ่ายที่ประหยัดได้ สามารถเตรียมไว้ปลูกผมเพิ่มในอนาคตได้
    • ดีเพ็ญ-วรฤทธิ์ คลินิก ไม่มีบริการการปลูกผม
    • ทางคลินิกยินดี แนะนำคลินิกปลูกผม (เฉพาะคนไข้ที่รักษากับทางคลินิก) ที่มีแพทย์ปลูกผมที่มีความสามารถ มีประสบการณ์ ได้มาตรฐาน ในการดูแลปลูกผมให้ได้

 

Scroll to Top